วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้น : ไอ้หนุ่มพเนจร

ผมเรียกมันว่าอย่างนั้น ไอ้หนุ่มพเนจรมันเป็นหมาไม่มีหัวนอนปลายเท้า สีน้ำตาลตัวผู้ ผอมๆ ขาเป๋หนึ่งข้าง หน้าบากด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ ท่าทางมันคงจะผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน มันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เดินกระเพลกๆ ทำตัวกลมกลืนราวกับเป็นสมาชิกตัวหนึ่งของบ้านผม

บ้านผมเลี้ยงหมาอยู่แล้ว 3 ตัว คือ เป๊บซี่, ไมโล และ สไปซ์ ตอนแรกผมเข้าใจว่าไอ้หนุ่มพเนจรมาติดพันเป๊บซี่แม่หมาสาวของผม พอพ้นฤดูติดสัดก็คงจากไป แต่เปล่าเลยมันอยู่ที่นี่นานหลายเดือน และไม่มีท่าทีจะย้ายไปไหน

พ่อผมบอกว่าสไปซ์คือลูกของหนุ่มพเนจรกับเป๊บซี่ แสดงว่าเมื่อหลายปีก่อนมันก็มาแล้วทีหนึ่ง ไข่ทิ้งไว้แล้วจากไป จนกระทั่งลูกมันโตเป็นหนุ่ม ทั้งที่เป็นพ่อลูกกันแต่ทั้งสองจำกันไม่ได้ อีกทั้งมีนิสัยไม่ต้องชะตากัน เดินผ่านกันทีไรเป็นต้องฟัดกันทุกครั้ง สไปซ์ตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย กำลังก็น่าจะมากกว่า แต่ว่าใจไม่สู้ ผลจึงลงเอยที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

พ่อของผมเป็นคนไม่รักสัตว์ แต่ก็หุงหาอาหารเลี้ยงหมาที่บ้านมาหลายปี ผมเห็นอาหารที่พ่อทำแล้วต้องเบือนหน้าหนี เพราะกลิ่นมันเหลือทน หน้าตาก็ไม่เอาไหน รสชาติคงแย่มากๆ มันก็จริงตามนั้น เพราะเมื่อเอาอาหารไปให้หมา พวกมันกินกันไม่กี่คำก็เบือนหน้าหนี

ยกเว้นไอ้หนุ่มพเนจร มันจะรอให้ทุกผู้คนเผลอแล้วก็ย่องมากินข้าวจนเกลี้ยงกะละมัง ถ้าพ่อผมเห็นเข้าก็จะเอาหนังสติ๊กไล่ยิง พ่อผมอายุหกสิบกว่าปีแล้ว สายตาก็ไม่สู้ดี ต้องใส่แว่น แต่เรื่องยิงหนังสติ๊กไล่หมา แกแม่นมาก

เมื่อยิงถูก ไอ้หนุ่มพเนจรจะร้องเอ๋งอย่างเจ็บปวด หายไปไม่นาน แล้วมันก็กลับมาวนเวียนอยู่รอบๆบ้านอีกครั้ง ผมเป็นคนรักสัตว์ แต่เมื่อเห็นไอ้หนุ่มพเนจรเที่ยวมาขโมยกินอาหารหมาที่บ้าน ซ้ำยังกัดหมาในบ้านอีกก็ไม่พอใจ ผมคว้าหนังสติ๊กมายิงบ้าง

ผมทำท่ายิงโดยไม่ใส่ลูกหิน สิ้นเสียงควับ ไอ้หนุ่มพเนจรก็ร้องเอ๋งๆ ราวกับว่าเจ็บปวดเป็นหนักหนา ยิงลมไปแท้ๆมันยังเข้าใจว่าตัวเองถูกลูกหินยิง เรื่องนี้ทำให้ผมและพ่อหัวเราะด้วยความขบขัน นึกเอ็นดูมันขึ้นมาบ้างเล็กน้อย วันดีคืนดีพ่อก็แบ่งข้าวให้มันกิน ด้วยเหตุผลว่า

กลัวมันตาย เดี๋ยวไปฟ้องยมบาลพ่อผมว่าอย่างนั้น

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งถึงความหมายของชีวิต เมื่อยังเด็กอาจไร้เดียงสา ไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วผมถามคำถามนี้กับตัวเองบ่อยครั้ง มีชีวิตอยู่ไปทำไม ทำงานเพื่ออะไร เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เราขายเวลา 1 ใน 3 ของวันให้กับนายจ้าง สัปดาห์ละ 5-6 วัน ทำสิ่งที่เรียกว่างานประจำ เพื่อให้มีเงินมาใช้จ่ายในแต่ละเดือน

เงินเดือนมีให้กินใช้เป็นเดือนๆเท่านั้น ไม่พอเหลือเก็บ ในที่สุดมนุษย์เงินเดือนมักก่อหนี้สินผูกพัน ไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนเมีย(สินสอด งานแต่ง) ผ่อนลูก(ค่าเล่าเรียน ค่าแปะเจี๊ยะ) หนี้พอกพูนขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงตอนนั้นถึงจะเบื่อแค่ไหนก็ไม่สามารถลาออกได้

เราสร้างระบบบางอย่างขึ้นมาพันธนาการตัวเองจนดิ้นไม่หลุด เราขายช่วงเวลาหนุ่มสาวซึ่งมีกำลังเหลือเฟือให้กับองค์กร แล้วพอถึงวันเกษียณอายุ ก็แทบจะออกจากงานมาตัวเปล่า ๆ อาจมีเงินสักก้อนกับเรี่ยวแรงและสมองที่เหนื่อยล้า เพื่อไปตายเอาดาบหน้า

เพราะเหตุนี้ผมจึงเลือกที่จะไม่ทำงานประจำ แต่ดิ้นรนทำงานส่วนตัว ผมต้องการเป็นเจ้าของเวลาและกำหนดรายได้ของตัวเอง ต้องยอมรับว่ามันเหนื่อย และลำบากน่าดู ในงานประจำทำเล่นๆ เรื่อยๆ อู้บ้าง เกเรบ้าง พอสิ้นเดือนก็มีเงินใช้ แต่เมื่อทำงานของตนเอง หากงานไม่สำเร็จเป็นอด และมันก็เป็นเช่นนั้นบ่อยๆ

ผมทำงานสารพัด ตั้งแต่รับจ้างทำหนังสือ เขียนการ์ตูน ขายประกัน ขายปุ๋ย ขายผลไม้ ฯลฯ คิดไปแล้วชีวิตของคนทำงานอิสระอย่างผม ก็ไม่ต่างจากหมาจรจัดเช่นไอ้หนุ่มพเนจรเท่าไรนัก มีเสรีภาพด้านเวลา หากินด้วยตนเอง ได้มากได้น้อย ไม่แน่นอน ไม่เหมือนคนทำงานประจำที่มีเจ้าของคุ้มกะลาหัว เหมือนหมาเฝ้าบ้าน ถึงไร้อิสรภาพ แต่ก็มีกินใช้ ไม่อดยาก

วันที่ผมกลับบ้านดึกๆหมาที่บ้านมักวิ่งออกมาต้อนรับผมที่รั้ว ไอ้หนุ่มพเนจรก็มากับเขาด้วย กระดิกหางครางหงิงๆอย่างดีใจ ผมเพิ่งยิงหนังสติ๊กใส่มันไปเมื่อกลางวันแท้ๆ แม้จะไม่มีลูกหินก็เถอะ มันไม่นึกเคืองผมบ้างหรือไงนะ หรือมันอยากจะทิ้งชีวิตหมาจรจัด ที่รักอิสระ เพื่อมีเจ้าของกับเขาบ้างแล้ว

ผมควรจะรักมันดีไหม ความจริงมันก็น่ารักดีเหมือนกัน

เช้าวันนั้นเมื่อผมตื่นนอนก็พบว่ามีรถปิกอัพคันหนึ่งเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน หลังรถบรรจุกะละมังและลังขังหมาจำนวนหนึ่ง คนแปลกหน้า 2 คนพร้อมอุปกรณ์ช่วยกันจับไอ้หนุ่มพเนจร มันพยายามหนี เมื่อถูกจับได้ก็ร้องเสียงลั่น ผมขังตัวเองอยู่ในห้องพยายามไม่ไปสนใจ แล้วไอ้หนุ่มพเนจรก็หายไปจากบ้านผมตั้งแต่วันนั้น

พ่อผมเป็นคนเรียกพวกเขามา รถคันนั้นตะเวนจับหมาตามหมู่บ้านต่างๆ หมาที่มีเจ้าของก็เจรจาขอแลกกับกะละมัง พวกเขาเอาหมาไปขายในแหล่งที่คนบริโภคเนื้อหมา พ่อผมบอกว่า ถ้าไอ้หนุ่มพเนจรสามารถหนีรอดจากคนพวกนั้นกลับมาที่บ้านได้ พ่อจะเลี้ยงดูมันอย่างดี ฐานที่มันฉลาดเหลือเกิน แกมาพูดอะไรเอาตอนนี้

ไอ้หนุ่มพเนจรก็ไม่กลับมาให้เห็นอีกเลย บางครั้งกลับบ้านมาตอนดึกๆ ผมก็ยังหวังว่าจะเห็นมันวิ่งออกมาต้อนรับผมพร้อมกับแป๊บซี่ สไปซ์ และไมโลบ้าง แต่ก็ไม่เห็น ผมว่ามันคงไปลงนรกเรียบร้อยแล้ว คงยืนรออยู่ข้างๆยมพระบาล เพื่อฟ้องว่าผมกับพ่อทำกรรมอะไรกับมันเอาไว้บ้าง

คิดแล้วก็อยากทำบุญใส่บาตรไปให้มันเหลือเกิน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น