วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
นิทานพริบตา : รักข้ามฟ้า
“ซูซาน” เป็นสาวชาวอังกฤษ เธอเดินทางมาท่องเที่ยวที่เมืองไทย ไกด์พาเธอเที่ยวชมวัด วัง ทะเล ภูเขา และป่าไม้ เธอหลงใหลธรรมชาติของเมืองไทยมาก จึงขอตั้งแคมป์ค้างแรมในป่าหลายคืน “ริชาร์ด” คู่หมั้นของเธอโทรทางไกลมาจากต่างประเทศ ขอให้เธอกลับบ้านเธอก็ไม่สนใจ
ระหว่างเดินป่าในวันหนึ่ง เธอชมนกชมไม้เสียเพลิน จนกระทั่งพบว่าตนเองหลงทางกับคณะเพื่อนฝูง เธอเดินทางอีกหลายกิโลเพื่อกลับไปที่แคมป์ปรากฏว่าไม่สำเร็จ ค่ำลงจำเป็นต้องค้างในป่า เสือเกือบจะขย้ำเธอเป็นอาหารเสียแล้วถ้า “พงัน”เงาะป่าซาไกไม่ออกมาพบเธอเสียก่อน แล้วช่วยเธอออกจากกรงเล็บสัตว์ร้ายตัวนั้นมาได้
ทั้งสองตกหลุมรักกันในเวลาอันรวดเร็ว และตกลงจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน พงันพาซูซานไปพบพ่อแม่ของเขาที่เผ่า ไม่มีใครยอมรับเรื่องนี้
“หล่อนมาจากเมืองศิวิไล แล้วเราเป็นใคร ใช้ชีวิตร่วมกัน ครอบครัวและสังคมของหล่อนมีแต่จะดูถูกเจ้า...” พ่อของพงันบอก
ซูซานโทรทางไกลไปหาแม่
“แม่รับเรื่องนี้ไม่ได้ แกรีบทิ้งเจ้านั่น แล้วกลับมาแต่งงานกับคู่หมั้นของแกซะ” แม่ของซูซานกล่าวทิ้งท้าย
ครอบครัวของทั้ง 2 ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ทั้งสองจะครองคู่กัน ซูซานและพงันจึงหนีตามกันไปพบฤาษีในป่า เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”ฤาษีถาม
“เราแน่ใจ” ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน
ฤาษีจึงร่ายมนต์เสกให้ ทั้งสองกลายเป็นผลไม้
ฉะนั้นใครก็ตามที่พบ “ฝรั่ง” กับ “เงาะ” ที่ตลาด ช่วยซื้อมันกลับมาจัดอยู่ในถาดผลไม้เดียวกันด้วย เพื่อเห็นแก่ความรักของทั้งคู่เถอะ.
กวี/กระวาด : สมาธิ
หากความสุขอยู่ที่ลมหายใจ
ทำไมไม่สูดเข้าไปให้เต็มปอด
หากความทุกข์อยู่ที่ลมหายใจ
ทำไมไม่ระบายออก
เช่นนี้แล้วจะว้าวุ่นไปไย
ในเมื่อยังมีลมหายใจเข้าออก
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
นิทานพริบตา : คนรักเก่า
“พวงมาลัย” ร่างกายของมันประกอบขึ้นจากดอกไม้หลายชนิด สวยงามและส่งกลิ่นหอมจรุงใจ บางคนก็นำมันไปไหว้พระ บางคนก็นำไปให้คนที่เคารพรัก
มีพวงมาลัย 2 พวงเป็นคู่รักกัน มันมีความสุขมาก เพราะกำลังเข้าสู่พิธีแต่งงาน อันหนึ่งจะได้คล้องคอเจ้าบ่าว อีกอันหนึ่งจะไปคล้องคอเจ้าสาว
ที่สี่แยกไฟแดง คนที่ถือพวงมาลัยไปงานแต่งงานถูกรถชน พวงมาลัยพวงหนึ่งถูกล้อรถยนต์บดขยี้เป็นชิ้นๆ พวงมาลัยอีกพวงที่เหลือเศร้าโศกเสียใจปริ่มใจจะขาด
หลายวันผ่านไป พวง “มาลัยดอกไม้สาว” ไม่ได้เข้าพิธีวิวาห์ มันถูกนำมาเร่ขายที่ริมถนน ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งรถยนต์คันหนึ่งจอดซื้อ แล้วนำไปแขวนไว้ที่กระจกรถ
ที่กระจกมองหลังรถ พวงมาลัยดอกไม้สาวได้พบกับคนรักเก่าของหล่อนอีกครั้ง เขากลับชาติมาเกิดเป็น “พวงมาลัยรถยนต์” เพื่อบังคับทิศทางของรถไม่ให้ชนใครง่ายๆอีกต่อไป
แล้วทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุข (ภายในห้องโดยสารรถยนต์).
นิทานอีกศพ : เพื่อนแชต
วันจันทร์นั้นเมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน นุชก็พบว่าเจตกำลังออนไลน์อยู่แล้วในโปรแกรมแชตที่คุ้นเคย เจตเป็นเพื่อนสนิทกับนุช จนเพื่อนคนอื่นแซวว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน ทั้งคู่คุยกันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ แต่วันนี้นุชอารมณ์ไม่ดีจึงไม่อยากคุยด้วย
เจต : Hi นุชอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน
นุช : อยู่ชั้นบน
นุชเป็นนักบัญชีอยู่ชั้น 3 เจตเป็นฝ่ายขายอยู่ชั้น 2
เจต : ไม่ยักเห็นเดินผ่านชั้นของผมเลย
นุช : ช่วยไม่ได้ ตาไม่ดีเอง
เจต : แล้วผมอยู่ข้างหลังคุณ เห็นหรือเปล่า
นุชเหลียวหลัง ไม่พบใคร จึงพิมพ์ข้อความโต้กลับไปว่า
นุช : บ้า!
นุชมักมาที่ทำงานก่อนเวลาเสมอ และนี่ก็ยังเช้าเกินกว่าที่ใครจะมาถึง นอกจากป้าฉิมแม่บ้านที่กำลังกวาดพื้นอย่างขะมักเขม้น เมื่อหล่อนเห็นนุชก็รี่เข้ามาคุยด้วย
“น่าสงสารจริงๆนะคะ พวกชั้น 2”ป้าฉิมเริ่มบทสนทนา
“ทำไมป้า”
“คุณนุชไม่ได้ดูข่าวทีวีหรือคะ ฝ่ายขายบริษัทของเราที่ไปออกทริปต่างจังหวัดเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา รถยนต์ประสบอุบัติเหตุตกเหวเสียชีวิตทั้งคันรถ”
นุชจ้องจอคอมพิวเตอร์เขม็ง แล้วหันหน้ามาช้าๆ
“แล้วป้ารู้ไหมว่าฉันก็อยู่ในรถ”
นิทานพริบตา : ฝนดาว
วันหนึ่ง...เมื่อฝนตกลงมาเป็นดาว
โดนนักศึกษา เธอกลายเป็นดาวมหาวิทยาลัย
โดนนักร้อง เธอกลายเป็นนักร้องดาวรุ่ง
โดนดารา เธอกลายเป็นดาวค้างฟ้า
โดนทหาร เขาได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง มีดาวมากมายที่ไหล่
โดนนักเรียนที่ตั้งใจเรียน เด็กคนนั้นได้ 5 ดาวในสมุดการบ้าน
โดนไก่ กลายเป็นไก่ย่าง 5 ดาว
โดนไข่ กลายเป็นไข่ดาว
โดนเสือ กลายเป็นเสือดาว
โดนปลา กลายเป็นปลาดาว
(ดีที่หมาแมวหนีทัน ไม่อย่างนั้นได้มีแมวดาวและหมาดาวไปแล้ว)
ท้องฟ้ามืดมิด เพราะดาวหล่นมาหมดฟ้า
เราทุกคนต้องช่วยกันทำความดี
เพื่อที่ความดีจะได้ไปจุดแสงสว่างบนท้องฟ้า กลายเป็นดวงดาว
แล้ววันหนึ่ง เมื่อเราต้องการเป็นเลิศในเรื่องใด ก็จงอธิฐาน
ในวันที่ฝนตกมาเป็นดวงดาว(นะจ๊ะ)
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
กวี/กระวาด : บทเลียน
ภายหลังตวัดแมลงเม่าเข้าปาก
จิ้งจกตัวนั้นนึกกระหยิ่มในใจ
ที่เหยื่อของมันไม่เรียนรู้
จากประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์
ก่อนที่มันจะคลานไป
ให้ประตูทับจนไส้ไหล.
นิทานพริบตา : สมุดวิเศษ
นานมาแล้ว...
พระโอรสหนูจากเมือง “เมาส์ธานี”เดินทางไกลมายังป่าลึก เพื่อศึกษาวิชากับพระอาจารย์ ภายหลังสำเร็จการศึกษา พระอาจารย์มอบสมุดโน้ตหนึ่งเล่ม กุญแจหนึ่งดอก แล้วบอกกับพระโอรสหนูว่า นี่คือของวิเศษที่จะตอบคำถามเจ้าได้ทุกเรื่อง ทำงานหลายๆอย่างแทนเจ้า และพาเจ้าไปยังที่ต่างๆได้ทุกที่
“แต่อย่าเปิดสมุดเล่มนี้จนกว่าจะถึงเมืองของเจ้า” พระอาจารย์สั่งเป็นครั้งสุดท้าย
พระโอรสหนูจากมาด้วยความพิศวง สมุดเล็กๆเล่มนี้กับกุญแจหนึ่งดอกจะทำอย่างที่พระอาจารย์ว่าได้อย่างไร ทว่าเก็บความสงสัยไว้แล้วเดินทางต่อ จนกระทั่งเจอชายคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส พระโอรสหนูจึงเข้าไปช่วยปฐมพยาบาลจนชายคนนั้นฟื้น
ชายคนนั้นเล่าว่าตนเองชื่อ “จันทรโครพ” ถูกโจรป่าทำร้าย แย่ง “พระอบ” และภรรยาไป พระโอรสหนูก็เล่าเรื่องของตนเองบ้าง
จันทรโครพฟังจบแล้วก็ยุให้พระโอรสหนูเปิดสมุดโน้ต
“ท่านคิดดู ถ้าเผื่อว่าพระอาจารย์ท่านหยิบสมุดผิดเล่ม ไม่ได้เป็นของวิเศษอย่างที่ว่าท่านต้องเสียเวลาเดินทางกลับมาเปลี่ยนอีกนะ”
พระโอรสหนูหลงเชื่อเปิดสมุดออก ปรากฏแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งป่า มนต์วิเศษที่พระอาจารย์ร่ายมากับสมุดโน้ตบันดาลให้ สมุดบันทึกและกุญแจดอกนั้นเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นอุปกรณ์อิเล็คโทรนิก รวมทั้งพระโอรสหนูก็กลายเป็นวัตถุพลาสติกไปเสียแล้ว
จันทรโครพเก็บอุปกรณ์ทั้ง 3 อย่างกลับเมือง แล้วเรียนรู้วิธีใช้ โน้ตบุ๊ค (Notebook) , คีย์บอร์ด (keyboard), และเมาส์ (mouse) จนชำนาญ แล้วใช้สิ่งนี้ท่องไปยังโลกอินเตอร์เน็ต แหล่งเรียนรู้อันไม่รู้จบ จากนั้นจึงใช้ความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาบ้านเมืองของตนจนเจริญก้าวหน้า
หลงลืมเรื่องราวของนางโมราและโจรป่าไปเสียสิ้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…
................................................................................................................
ปล. นิทานเรื่องนี้ไม่สอนอะไรเลย เพราะสอนแล้วก็ไม่รู้จักจำ ดูพระโอรสหนู และจันทรโครพเป็นตัวอย่าง
กวี/กระวาด : ที่อยู่
ความเอ๋ย...ความรัก
อยู่ในหัวหรืออยู่ในใจ
ถ้าอยู่ในใจ ทำไมไม่เลิกคิด(ถึง)
ถ้าอยู่ในหัว ทำไมเจ็บจี๊ดๆในใจ
นิทานพริบตา : การหายไปของ ฅ.คน
คอไก่
คอเป็ด
คอห่าน
คอควาย
และ คอฅน
พระเจ้ากำลังตัดสินใจว่าจะเลือกคอแบบไหนมาติดบนไหล่ของสิ่งมีชีวิตที่ยืนด้วย 2 เท้า หลังตั้งฉากกับพื้นโลกดีหนอ
คอไก่ อื่ม...หัวดูเล็กไป คอเป็ด ปากแบนๆน่าเกลียดจัง คอห่านก็คอยาวไป คอควายหัวเบอเร่อเบอร่า เอาคอฅนนี่แหละใส่ลงไปดูเข้าทีที่สุด
แล้วพระเจ้าก็ทรงติดคอมนุษย์เข้ากับร่างกายทีละคน ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ มนุษย์อ้วนคนหนึ่งไม่พอใจคอของตนเองจึงทำหนังสือประท้วงพระเจ้า เขาอยากได้คอใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม
เหน็ดเหนื่อยจากภารกิจสร้างโลกและสิ่งมีชีวิต ยังต้องมารับมือกับหนังสือร้องเรียนเรื่องไร้สาระ เพราะความไม่พอใจของคนบางคนอีก
ด้วยความโมโห พระเจ้าจึงเสกให้...
“คอฅน” ไม่ปรากฏอยู่บนร่างกายของ “คนอ้วน” และใน “หนังสือ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.
กวี/กระวาด : คืนที่มองฟ้า
รัญจวนเมื่อมองจันทร์ อันผ่องพรรณกระจ่างตา
คิดถึงคนรักข้านานหนักหนา ไม่เคยเจอ
ดวงจันทร์ที่เด่นฟ้า ละม้ายใบหน้าของเธอ
กลมกลึงจริงนะเออ และขลุกขลักดั่งจันทร์เพ็ญ
วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
นิทานพริบตา : มนต์รักแม่สี
“เหลือง”เป็นสาวสวยไฮโซที่หนุ่มๆมากมายหมายปอง แต่สุดท้ายหล่อนก็เลือกแต่งงานไปกับ “แดง” นักการเมืองผู้เรืองอำนาจ หล่อนให้กำเนิดเด็กน้อยน่ารักนามว่า “ส้ม”
ต่อมามีข่าวลือหนาหูว่าแดงนอกใจเหลือง แอบไปมีกิ๊ก เหลืองทนไม่ได้ขอแยกทางกับแดงโดยไม่ต้องไต่สวนหาความจริง
ม่ายสาวเสน่ห์แรงอย่างเหลืองเฉิดฉายในวงสังคมตามลำพังได้ไม่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจแต่งงานกับนักธุรกิจหนุ่มชื่อ “น้ำเงิน” แล้วให้กำเนิดบุตรชื่อ “เขียว”
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งเมื่อเหลืองเริ่มระแคะระคายว่าน้ำเงินกำลังเป็นอื่น แอบซ่อนใครบางคนไว้
คราวนี้เหลืองไม่วู่วามเหมือนครั้งแรก ต้องจับให้ได้คาหนังคาเขาว่ามันผู้นั้นเป็นใคร หล่อนจึงแอบสะกดรอยตามสามีออกไปจนกระทั่งรู้ความจริงที่ทำให้หล่อนแทบเสียสติ
น้ำเงินอยู่กินกันกับแดงมาหลายปีแล้ว แถมยังให้กำเนิดบุตรชื่อ “ม่วง”
แล้วครอบครัวนี้ก็ผสมสีขยายเผ่าพันธุ์ออกไป กลายเป็นเฉดสีต่างๆมากมาย อย่างไม่มีที่สิ้นสุด.
เรื่องสั้น : ไอ้หนุ่มพเนจร
ผมเรียกมันว่าอย่างนั้น “ไอ้หนุ่มพเนจร”มันเป็นหมาไม่มีหัวนอนปลายเท้า สีน้ำตาลตัวผู้ ผอมๆ ขาเป๋หนึ่งข้าง หน้าบากด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ ท่าทางมันคงจะผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชน มันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เดินกระเพลกๆ ทำตัวกลมกลืนราวกับเป็นสมาชิกตัวหนึ่งของบ้านผม
บ้านผมเลี้ยงหมาอยู่แล้ว 3 ตัว คือ เป๊บซี่, ไมโล และ สไปซ์ ตอนแรกผมเข้าใจว่าไอ้หนุ่มพเนจรมาติดพันเป๊บซี่แม่หมาสาวของผม พอพ้นฤดูติดสัดก็คงจากไป แต่เปล่าเลยมันอยู่ที่นี่นานหลายเดือน และไม่มีท่าทีจะย้ายไปไหน
พ่อผมบอกว่าสไปซ์คือลูกของหนุ่มพเนจรกับเป๊บซี่ แสดงว่าเมื่อหลายปีก่อนมันก็มาแล้วทีหนึ่ง ไข่ทิ้งไว้แล้วจากไป จนกระทั่งลูกมันโตเป็นหนุ่ม ทั้งที่เป็นพ่อลูกกันแต่ทั้งสองจำกันไม่ได้ อีกทั้งมีนิสัยไม่ต้องชะตากัน เดินผ่านกันทีไรเป็นต้องฟัดกันทุกครั้ง สไปซ์ตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย กำลังก็น่าจะมากกว่า แต่ว่าใจไม่สู้ ผลจึงลงเอยที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
พ่อของผมเป็นคนไม่รักสัตว์ แต่ก็หุงหาอาหารเลี้ยงหมาที่บ้านมาหลายปี ผมเห็นอาหารที่พ่อทำแล้วต้องเบือนหน้าหนี เพราะกลิ่นมันเหลือทน หน้าตาก็ไม่เอาไหน รสชาติคงแย่มากๆ มันก็จริงตามนั้น เพราะเมื่อเอาอาหารไปให้หมา พวกมันกินกันไม่กี่คำก็เบือนหน้าหนี
ยกเว้นไอ้หนุ่มพเนจร มันจะรอให้ทุกผู้คนเผลอแล้วก็ย่องมากินข้าวจนเกลี้ยงกะละมัง ถ้าพ่อผมเห็นเข้าก็จะเอาหนังสติ๊กไล่ยิง พ่อผมอายุหกสิบกว่าปีแล้ว สายตาก็ไม่สู้ดี ต้องใส่แว่น แต่เรื่องยิงหนังสติ๊กไล่หมา แกแม่นมาก
เมื่อยิงถูก ไอ้หนุ่มพเนจรจะร้องเอ๋งอย่างเจ็บปวด หายไปไม่นาน แล้วมันก็กลับมาวนเวียนอยู่รอบๆบ้านอีกครั้ง ผมเป็นคนรักสัตว์ แต่เมื่อเห็นไอ้หนุ่มพเนจรเที่ยวมาขโมยกินอาหารหมาที่บ้าน ซ้ำยังกัดหมาในบ้านอีกก็ไม่พอใจ ผมคว้าหนังสติ๊กมายิงบ้าง
ผมทำท่ายิงโดยไม่ใส่ลูกหิน สิ้นเสียงควับ ไอ้หนุ่มพเนจรก็ร้องเอ๋งๆ ราวกับว่าเจ็บปวดเป็นหนักหนา ยิงลมไปแท้ๆมันยังเข้าใจว่าตัวเองถูกลูกหินยิง เรื่องนี้ทำให้ผมและพ่อหัวเราะด้วยความขบขัน นึกเอ็นดูมันขึ้นมาบ้างเล็กน้อย วันดีคืนดีพ่อก็แบ่งข้าวให้มันกิน ด้วยเหตุผลว่า
“กลัวมันตาย เดี๋ยวไปฟ้องยมบาล”พ่อผมว่าอย่างนั้น
ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งถึงความหมายของชีวิต เมื่อยังเด็กอาจไร้เดียงสา ไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วผมถามคำถามนี้กับตัวเองบ่อยครั้ง มีชีวิตอยู่ไปทำไม ทำงานเพื่ออะไร เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เราขายเวลา 1 ใน 3 ของวันให้กับนายจ้าง สัปดาห์ละ 5-6 วัน ทำสิ่งที่เรียกว่างานประจำ เพื่อให้มีเงินมาใช้จ่ายในแต่ละเดือน
เงินเดือนมีให้กินใช้เป็นเดือนๆเท่านั้น ไม่พอเหลือเก็บ ในที่สุดมนุษย์เงินเดือนมักก่อหนี้สินผูกพัน ไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนเมีย(สินสอด งานแต่ง) ผ่อนลูก(ค่าเล่าเรียน ค่าแปะเจี๊ยะ) หนี้พอกพูนขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงตอนนั้นถึงจะเบื่อแค่ไหนก็ไม่สามารถลาออกได้
เราสร้างระบบบางอย่างขึ้นมาพันธนาการตัวเองจนดิ้นไม่หลุด เราขายช่วงเวลาหนุ่มสาวซึ่งมีกำลังเหลือเฟือให้กับองค์กร แล้วพอถึงวันเกษียณอายุ ก็แทบจะออกจากงานมาตัวเปล่า ๆ อาจมีเงินสักก้อนกับเรี่ยวแรงและสมองที่เหนื่อยล้า เพื่อไปตายเอาดาบหน้า
เพราะเหตุนี้ผมจึงเลือกที่จะไม่ทำงานประจำ แต่ดิ้นรนทำงานส่วนตัว ผมต้องการเป็นเจ้าของเวลาและกำหนดรายได้ของตัวเอง ต้องยอมรับว่ามันเหนื่อย และลำบากน่าดู ในงานประจำทำเล่นๆ เรื่อยๆ อู้บ้าง เกเรบ้าง พอสิ้นเดือนก็มีเงินใช้ แต่เมื่อทำงานของตนเอง หากงานไม่สำเร็จเป็นอด และมันก็เป็นเช่นนั้นบ่อยๆ
ผมทำงานสารพัด ตั้งแต่รับจ้างทำหนังสือ เขียนการ์ตูน ขายประกัน ขายปุ๋ย ขายผลไม้ ฯลฯ คิดไปแล้วชีวิตของคนทำงานอิสระอย่างผม ก็ไม่ต่างจากหมาจรจัดเช่นไอ้หนุ่มพเนจรเท่าไรนัก มีเสรีภาพด้านเวลา หากินด้วยตนเอง ได้มากได้น้อย ไม่แน่นอน ไม่เหมือนคนทำงานประจำที่มีเจ้าของคุ้มกะลาหัว เหมือนหมาเฝ้าบ้าน ถึงไร้อิสรภาพ แต่ก็มีกินใช้ ไม่อดยาก
วันที่ผมกลับบ้านดึกๆหมาที่บ้านมักวิ่งออกมาต้อนรับผมที่รั้ว ไอ้หนุ่มพเนจรก็มากับเขาด้วย กระดิกหางครางหงิงๆอย่างดีใจ ผมเพิ่งยิงหนังสติ๊กใส่มันไปเมื่อกลางวันแท้ๆ แม้จะไม่มีลูกหินก็เถอะ มันไม่นึกเคืองผมบ้างหรือไงนะ หรือมันอยากจะทิ้งชีวิตหมาจรจัด ที่รักอิสระ เพื่อมีเจ้าของกับเขาบ้างแล้ว
ผมควรจะรักมันดีไหม ความจริงมันก็น่ารักดีเหมือนกัน
เช้าวันนั้นเมื่อผมตื่นนอนก็พบว่ามีรถปิกอัพคันหนึ่งเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน หลังรถบรรจุกะละมังและลังขังหมาจำนวนหนึ่ง คนแปลกหน้า 2 คนพร้อมอุปกรณ์ช่วยกันจับไอ้หนุ่มพเนจร มันพยายามหนี เมื่อถูกจับได้ก็ร้องเสียงลั่น ผมขังตัวเองอยู่ในห้องพยายามไม่ไปสนใจ แล้วไอ้หนุ่มพเนจรก็หายไปจากบ้านผมตั้งแต่วันนั้น
พ่อผมเป็นคนเรียกพวกเขามา รถคันนั้นตะเวนจับหมาตามหมู่บ้านต่างๆ หมาที่มีเจ้าของก็เจรจาขอแลกกับกะละมัง พวกเขาเอาหมาไปขายในแหล่งที่คนบริโภคเนื้อหมา พ่อผมบอกว่า ถ้าไอ้หนุ่มพเนจรสามารถหนีรอดจากคนพวกนั้นกลับมาที่บ้านได้ พ่อจะเลี้ยงดูมันอย่างดี ฐานที่มันฉลาดเหลือเกิน แกมาพูดอะไรเอาตอนนี้
ไอ้หนุ่มพเนจรก็ไม่กลับมาให้เห็นอีกเลย บางครั้งกลับบ้านมาตอนดึกๆ ผมก็ยังหวังว่าจะเห็นมันวิ่งออกมาต้อนรับผมพร้อมกับแป๊บซี่ สไปซ์ และไมโลบ้าง แต่ก็ไม่เห็น ผมว่ามันคงไปลงนรกเรียบร้อยแล้ว คงยืนรออยู่ข้างๆยมพระบาล เพื่อฟ้องว่าผมกับพ่อทำกรรมอะไรกับมันเอาไว้บ้าง
คิดแล้วก็อยากทำบุญใส่บาตรไปให้มันเหลือเกิน.
กวี/กระวาด :เจ้าทุกข์
เมื่อมองว่า “เวลา” เป็นสิ่งชั่วช้า
เราจึงต้อง “ฆ่าเวลา”
เมื่อเห็นว่า “ชีวิต” เป็นศัตรู
เราจึงต้อง “สู้ชีวิต”
เช่นนี้เอง…
โมงยามแห่งความทุกข์ตรม
จึงผ่านชีวิตเราไปอย่างเชื่องช้า